ป้ายกำกับ

วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

สะพานปรินซ์ Souphanouvong

สะพาน Khoua Ban Darn ออกแบบโดยเจ้าชาย Souphanouvong หรือ "Red Prince" 
และเป็นประธานคนแรกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อปีพ. ศ. 2485 ซึ่งถูกทอดทิ้งแม่น้ำเซดอนจนกระทั่งปีพ. ศ. 2511 เมื่อถูกทำลายโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดอเมริกันพยายามที่จะตัดสายการผลิตไปยังโฮ เส้นทาง Chi Minh

ทั้งหมดที่เหลืออยู่ของสะพานหักสามเสาคอนกรีตและส่วนหนึ่งของโครงสร้างเหล็กและเราสามารถยืนยันได้ว่าเป็นของสาย 2016 ในความเป็นจริงยังคงเสีย ชาวบ้านใช้เรือไม้ข้ามเมือง Salavan และย่าน Toumlan สิ่งนี้จะกระตุ้นความสนใจของผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์หรือผู้ที่กำลังมองหาสิ่งที่ต้องการจริงๆ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนั่งรถจักรยานยนต์ที่เป็นหลุมเป็นบ่อ

สะพานหัก Khoua Ban Darn ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง 20 กม. เดินทางไปทางตะวันตกบนถนนสู่อำเภอวะพิดิและประมาณ 10 กิโลเมตรที่หมู่บ้านบ้านเขาเขียวและป้ายบอกทางไปยังเขตรักษาพันธุ์รถ Xe Bang Nouanให้เลี้ยวขวา / ขึ้นเหนือไปตามถนนสกปรกเป็นเวลา 10 กิโลเมตร ถนนสายนี้น่ากลัวจริงๆ เป็นส่วนผสมของสิ่งสกปรกสีแดงทรายและกระดูกที่ทำให้เกิดลูกกอล์ฟที่มีขนาดใหญ่ เราจัดการ (เพียงแค่แทบจะ) โดยรถจักรยานยนต์ปกติ แต่ก็มีความเสี่ยงเนื่องจากแทบไม่มีอารยธรรมหรือโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ ไปพร้อมกันทำให้ไม่มีหมู่บ้านให้คนเดียวซื้อร้านซ่อมยาง เราสังเกตเห็นบางส่วนได้รับการจัดลำดับดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าถนนอาจจะปิดผนึกในบางจุด

ในขณะที่คุณอยู่ใกล้กับสะพานคุณจะผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ กับทางโรงเรียนแล้วถนนที่ดูเหมือนว่าจะแบ่งออกเป็นสองทั้งสองดูเหมือนจะนำไปสู่การไม่มีที่ไหนเลย ปฏิบัติตามเส้นทางที่ลงไปทางซ้ายไปที่น้ำ

การท่องเที่ยว Salavan ได้รวมเส้นทางที่พวกเขาเรียกว่า "Toumlan Weaving Trail" ซึ่งเป็นเส้นทางที่ขึ้นไปถึง Koum-ban Toumlan หมู่บ้านทอผ้ากะทะ กำหนดการเดินทางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในรถจักรยานยนต์ประเภทถนนซึ่งเป็นที่รักของการทอผ้าและหมู่บ้านชาติพันธุ์



สะพานปรินซ์ Souphanouvong
20 กม. ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Salavan
ค่าเข้าชม: ฟรี

Cr:
โดยซินดี้พัดลม อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 30 /09/ 2017



Bridge Tadhay over Xêbanghiêng river 30 Km from Muang Phine on road 23 between Muang Saravan and Muang Toumlan, Saravan province, southern Laos. It was designed and constructed by Prince Souphanouvong in the early 40s of the XX century and destroyed during USA aggression in Laos ( 1950s - 1975 ).
ຂົວຕາດໄຮ ຂ້າມ ເຊບັງຫຽງ ຢູ່ຫ່າງຈາກ ເມືອງພີນ 30 ກມ ຕາມທາງເລກ 23 ທີ່ອອກແບບ ແລະ ກໍ່ສ້າງ ໂດຍ ສະເດັດເຈົ້າ ສຸພານຸວົງ ໃນຕົ້ນຊຸມປີ 1940 ແລະ ຖືກທຳລາຍ ໃນສົງຄາມຕໍ່ຕ້ານ ການຮຸກຮານ ຂອງສະຫະຣັຖ ອະເມຣິກາ ຢູ່ລາວ ( 1950 - 1975 ).
ชากสะพาน ที่ยังเหลือให้เห็นในปัจจุบัน



วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

100 ปี ธงไตรรงค์ ประวัติศาสตร์ธงชาติไทย

100 ปี ธงไตรรงค์ ประวัติศาสตร์ธงชาติไทย 

บทความโดย:
ปางปราบมาร

วันที่ 28 กันยายน 60 จะเป็นวันแรกที่รัฐบาลประกาศให้เป็นวันสำคัญของประเทศไทยนั่นคือ วันพระราชทานธงชาติไทย และภายในปีเดียวกันนี้จะเป็นวันครบรอบ 100 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานธงไตรรงค์ ให้เป็นธงชาติของประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2460 ซึ่งวันนี้ก็ครบรอบ 100 ปีพอดีและธงชาติไทยของเราก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าจะมาเป็นผืนธงไตรรงค์อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วมากมา



ธงชาติไทยผืนแรก คือ ธงแดงเกลี้ยง

ถือกำเนิดด้วยความบังเอิญในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2231) เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2223 เรือเลอโวตูร์ เรือรบของฝรั่งเศสมีนายเรือชื่อ มองซิเออร์ คอนูแอน ได้นำเรือรบลำนี้เข้ามาบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเจริญพระราชไมตรี และทำการค้ากับอยุธยา

โดยมีธรรมเนียมประเพณีคือต้องชักธงประเทศบนเรือเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่า มาถึงแล้ว เมื่อเรือฝรั่งเศสชักธงชาติของตัวเองขึ้น ฝ่ายสยามยิงสลุตคำนับตามธรรมเนียม ขณะเดียวกันสยามเองต้องชักธงขึ้นด้วยเพื่อตอบกลับว่า ยินดีต้อนรับ แต่ตอนนั้นทหารประจำป้อมวิไชยเยนทร์ไม่เคยพบประเพณีแบบนี้

และสยามไม่มีธงสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นธงชาติมาก่อน จึงคว้าผ้าที่วางอยู่แถวนั้น แต่ดันหยิบธงชาติฮอลันดาชักขึ้นเสาแบบส่งเดช เมื่อทหารฝรั่งเศสเห็นก็ตกใจไม่ยอมชักธงและไม่ยอมยิงสลุต จนกว่าจะเปลี่ยนธงชาติ เพราะนั่นไม่ใช่ธงประจำประเทศไทยและขณะนั้นฝรั่งเศสกับฮอลันดาเป็นศัตรูกัน

ฝ่ายไทยจึงแก้ปัญหาโดยชักผ้าสีแดงขึ้นแทนธงชาติฮอลันดา ฝรั่งเศสจึงยอมยิงสลุตคำนับตอบ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ธงชาติไทย และธงแดงจึงเป็นธงประจำชาติผืนแรกของไทยอย่างไม่เป็นทางการ



จากธงแดงล้วนสู่ ธงวงจักร และ ธงช้าง


ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปจักรสีขาวลงในธงแดง สำหรับใช้เป็นธงของเรือหลวง" สาเหตุที่พระองค์กำหนดให้ใช้ "จักร" ลงไว้กลางธงผ้าพื้นแดง เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างเรือของพระมหากษัตริย์ กับเรือของราษฎรสยาม ที่ใช้ธงผ้าพื้นแดงเกลี้ยงนั่นเอง

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พระองค์ทรงได้ช้างเผือกเอก 3 ช้าง เป็นเกียรติยศยิ่งต่อแผ่นดิน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปช้างเข้าภายในวงจักรของเรือหลวงไว้ด้วย อันมีความหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินอันมีช้างเผือก ช้างคือสัญลักษณ์แห่งแผ่นดินของกรุงรัตนโกสินทร์





ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยมีการทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชดำริว่าสยามจำเป็นต้องมีธงชาติใช้ตามธรรมเนียมของชาติตะวันตก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธงพื้นสีแดงมีรูปช้างเผือกเปล่าอยู่ตรงกลางหันหน้าเข้าหาเสาธงเป็นธงชาติ โดยไม่มีวงจักรล้อมรอบตัวช้าง

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ธงที่ใช้กับเรือหลวง ถูกปรับรูปแบบอีกครั้ง จากช้างสีขาวธรรมดา ปรับให้เป็น "ช้างทรงเครื่องยืนแท่น" หันหน้าเข้าข้างเสา เนื่องจากช้างเผือกเปรียบเป็นเครื่องแทนตัวของพระมหากษัตริย์แล้ว



ดังนั้นการปรับให้ช้างทรงเครื่องยืนแท่น จึงเพื่อความสง่างามและเหมาะสมกับชั้นของพระมหากษัตริย์ และในปีพุทธศักราช 2434 ได้มีการจัดทำพระราชบัญญัติธง ฉบับที่ 1 เป็นแบบอย่างธงสยามที่รับรองเป็นกฎหมายเล่มแรก ว่าธงชาติสยามเป็นแบบไหน โดยในพระราชบัญญัติธงฉบับที่ 1 ข้อที่ 13 ได้ระบุไว้ว่า

“ข้อ 13 ธงชาติสยาม เป็นรูปช้างเผือกเปล่าพื้นแดง ใช้ในเรือกำปั่นและเรือทั้งหลายของพ่อค้าเรือกำปั่นแลเรือต่างๆ ของไปรเวตทั่วไปในชาวสยาม ประกาศมาแต่พระที่นั่งจักรกรีมหาปราสาท ลงวันที่ 25 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 110”




ธงแดงขาว 5 ริ้ว ถือกำเนิดขึ้นที่จังหวัดอุทัยธานี

เมื่อ พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองอุทัยธานี ซึ่งขณะนั้นประสบเหตุอุทกภัย เมื่อขบวนเสด็จได้เดินผ่านบ้านหลังหนึ่งก็มีอาการสะดุดพระเนตร พระองค์ได้ทอดพระเนตรขึ้นไปเห็นธงช้างติดอยู่ในลักษณะช้างนอนหงายเอาเท้าชี้ฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่เป็นมงคล

พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า ธงชาติต้องมีรูปแบบที่สมมาตรเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก และธงช้างผลิตจากหลายประเทศรูปร่างของช้างที่ปรากฏจึงไม่น่าดู จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนรูปแบบธงชาติอีกครั้ง

โดยเปลี่ยนเป็นธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นรูปแบบสมมาตรไม่ว่าจะติดด้านไหนก็ไม่มีลักษณะกลับหัว โดยมีแถบยาวสีแดง 3 แถบ สลับกับแถบสีขาว 2 แถบ เรียกธงนี้ว่า ธงแดงขาว 5 ริ้ว โดยสีแดงมาจากสีเดิมของธง ส่วนสีขาวมาจากช้างเผือกนั่นเอง





ถือกำเนิดธงไตรรงค์

เมื่อปี พ.ศ. 2460 รัชกาลที่ 6 ทรงอ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์ ฉบับภาษาอังกฤษ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2460 มีผู้เขียนเรื่องธงใช้นามปากกาว่า "อะแควเรียส" มีสาระว่า "ธงห้าริ้วสวยงามดี แต่หากจะให้ดีน่าจะมีสีน้ำเงินใส่เข้าไปด้วย เพราะสีน้ำเงิน เป็นสีแสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในนานาประเทศ"

พระองค์จึงทรงให้เปลี่ยนแถบสีแดงที่ตรงกลางธงเป็น สีน้ำเงินขาบ หรือสีน้ำเงินเข้มเจือม่วง อีกทั้งการที่พระองค์ได้เลือกสีนี้เพราะสีขาบเป็นสีประจำพระองค์ที่โปรดมาก เนื่องจากเป็นสีประจำวันพระราชสมภพคือวันเสาร์ตามคติโหราศาสตร์ไทย

และอีกประการหนึ่ง สีน้ำเงินยังแสดงถึงชัยชนะและความเป็นหนึ่งเดียวของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เช่น ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งใช้สีแดง ขาว น้ำเงินเป็นสีในธงชาติเป็นส่วนใหญ่ด้วย

พระองค์ทรงพระราชทานชื่อเรียกใหม่ว่า "ธงไตรรงค์" พร้อมความหมาย สีแดงหมายถึงเลือดอันยอมพลีเพื่อธำรงรักษาชาติและศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ และ สีขาวหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งศาสนา

ความภาคภูมิใจครั้งแรกของธงชาติไทยคือธงไตรรงค์ของสยามก็ได้เดินผ่านประตูชัยที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พร้อมกับคณะทหารอาสา ในการเฉลิมฉลองชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2462 ซึ่งนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชนะสงครามร่วมกับชาติมหาอำนาจในยุโรปแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ชาติมหาอำนาจในยุโรปให้การยอมรับสยามในเวทีโลก


Cr:
www.sanook.com

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

ท่านไกสอน พมวิหาน (ลาว: ໄກສອນ ພົມວິຫານ)

ท่านไกสอน พมวิหาน (ลาว: ໄກສອນ ພົມວິຫານ)


ไกสอน พมวิหาน


ท่านไกสอน พมวิหานเกิดเมื่อ(13 ธันวาคม พ.ศ. 2463 — 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535)
เลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคปฏิวัติประชาชนลาวคนแรก และนายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ได้เป็นประธานประเทศจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ พ.ศ. 2535 ปัจจุบันมีอนุสรณ์สถานของไกสอน พมวิหาน อยู่ทุกแขวงทุกเมืองทั่วประเทศ และมีรูปของเขาปรากฏบนธนบัตรสกุลเงินกีบของลาวด้วย



ไกสอน พมวิหาน มีชื่อภาษาเวียดนามว่า เหงียน กาย ซ็อง (เวียดนาม: Nguyen Cai Song) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า เหงียน จี๊ มืว (Nguyễn Trí Mưu) เป็นบุตรของนายล้วน หรือเหงียน จี๊ ลวาน (เวียดนาม: Nguyễn Trí Loan) เป็นชาวลาวเชื้อสายเวียดนาม ข้าราชการแปลภาษาที่สำนักงานผู้สำเร็จรัฐการฝรั่งเศสประจำแขวงสุวรรณเขต กับนางดก มารดาชาวลาว เกิดที่บ้านนาแซง เมืองคันธบุรี (ปัจจุบันคือเมืองไกสอน พมวิหาน) แขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว มีน้องสาวสองคน คือ นางสุวรรณทอง อาศัยอยู่ในประเทศไทย และนางกองมณี อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา

เมื่ออายุ 7 ปี ได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมศึกษาภาษาลาวที่บ้านเหนือ (ปัจจุบันคือบ้านไซยะพูม) ต่อมาเข้าเรียนโรงเรียนประถมภาษาฝรั่งเศสที่บ้านใต้ (บ้านท่าแฮ่) เมื่อเรียนจบชั้นประถมเมื่อปี ค.ศ. 1934 ได้เข้าเรียนมัธยมศึกษาที่ลีเซดูว์พรอแต็กตอรา (Lyceé du Protectorat) กรุงฮานอยประเทศเวียดนาม เมื่อเรียนจบวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1942 ได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาแพทย์ตามคำแนะนำของพ่อ แต่เมื่อได้เรียน เนื่องจากวิชาดังกล่าวไม่ถูกกับบุคลิก และความชอบในวิชาชีพ เขาจึงได้เปลี่ยนมาเรียนวิชากฎหมายแทน

การเรียนวิชากฎหมาย ทำให้เขาได้เรียนรู้กลไกการปกครองแบบหัวเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ได่เรียนรู้เกี่ยวกับขบวนการต่อสู้ของนักเรียนนักศึกษาที่รักชาติต้านลัทธิล่าเมืองขึ้น ในช่วงนั้น ขบวนการเวียดมินห์ ภายใต้การนำพาของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน โดยประธานโฮจิมินห์ ไกสอนได้ศึกษาเอกสารสิ่งพิมพ์ที่เป็นเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน รวมทั้งเอกสารอื่น ๆ เช่น เลอทราวาย (Le Travail), หนังสือทฤษฎีปฏิวัติ ซึ่งในนั้นรวมทั้งมติของกองประชุมสากลคอมมิวนิสต์ ค.ศ. 1919 และหนังสืออื่นๆ เกี่ยวกับโซเวียต เงื่อนไข และสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการต่อสู้ของเวียดมินห์ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวคิด และเส้นทางชีวิตของเขา เขาเคยมีความเห็นว่า การเคลื่อนไหวของเวียดมินห์ได้ทำให้เขาเกิดแนวคิดรักชาติและอยากให้ประเทศเป็นเอกราช

ค.ศ. 1944 ไกสอนได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมวัยหนุ่มกู้ชาติเวียดมินห์ เขาได้ร่วมกิจกรรมของสมาคมนี้อย่างมากมาย ทำให้เขาได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวของเวียดมินห์ มาถึงเวลานี้ ไกสอน พมวิหาน ไม่เพียงแต่เป็นนักรักชาติที่มีสติตื่นตัวแล้วเท่านั้น แต่หากยังมีแนวคิดปฏิวัติอีกด้วย

ค.ศ. 1945 สภาพการของโลกได้ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบโดยตรงต่อชะตากรรมของบรรดาประชาชาติอินโดจีน ต้นเดือนมีนาคม 1945 ศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนได้จัดกองประชุมขึ้น เพื่อตระเตรียมเงื่อนไขอันจำเป็นให้แก่การลุกฮือขึ้นยึดอำนาจการปกครอง เอาเอกราชแห่งชาติมาให้บรรดาประเทศในอินโดจีน

วันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 กองทัพแดงโซเวียตได้รับชัยชนะกองทัพฟาสซิสต์เยอรมัน ทำให้เป็นโอกาสอันอำนวยสำหรับการลุกฮือขึ้นยึดอำนาจได้เกิดขึ้นสำหรับประชาชนในแหลมอินโดจีน ไกสอนซึ่งก็มาถึงสุวรรณเขตไม่กี่วันก็ได้เคลื่อนไหวค้นหานักรักชาติในขบวนการลาวอิสระ ทั้งดำเนินการปลุกระดมและจัดตั้งชาวหนุ่มลาวและเวียดนามต่างด้าวเข้าร่วมในขบวนการต่อสู้ยึดอำนาจที่สุวรรณเขต

ตามบทเขียนของสีซะนะ สีสาน ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้เข้าร่วมในขบวนนั้นให้รู้ว่า "ในขณะนั้น สหายไกสอน พร้อมด้วยคณะผู้แทนชาวสุวรรณเขต ได้ไปหาพวกญี่ปุ่น และทวงให้ญี่ปุ่นมอบอำนาจให้แก่ชาวลาว ในที่สุดในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1945 พวกญี่ปุ่นก็ได้ยอมมอบปืน 120 กระบอก พร้อมลูกปืนหลายหีบให้แก่ชาวสุวรรณเขต กองกำลังประกอบอาวุธประชาชนได้รับการจัดตั้งขึ้นในทันที และพร้อมกันนั้น ประธาน ไกสอน และผู้เขียน (สีซะนะ) ก็ได้พากันออกไปบ้านบอกให้บรรดากำลังประกอบอาวุธ "ลาวอิสระ" เข้ามาสุวรรณเขต เพื่อสมทบกับกำลังประกอบอาวุธประชาชนที่ได้จัดตั้งไว้ก่อนแล้วให้เป็นกำลังประกอบอาวุธอันเดียวกัน ภายหลังที่การยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว ท่านไกสอน พมวิหาน ก็ได้รับผิดชอบแผนกแถลงข่าวของแขวง"

วันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1945 พวกทหารฝรั่งเศสได้บุกโจมตีเข้าตัวเมืองสุวรรณเขต พวกเขาได้ถูกตอบโต้คืนอย่างแข็งแรงจากกำลังประกอบอาวุธประชาชน ต้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 เขาได้เป็นเจ้าการเคลื่อนไหวปลุกระดม และจัดตั้งมวลชนชาวสุวรรณเขตเกือบ 2,000 คนเข้าร่วมในพิธีต้อนรับเสด็จเจ้าสุภานุวงศ์ที่ได้เดินทางมาจากประเทศเวียดนาม ผ่านสุวรรณเขต เพื่อไปเข้าร่วมในคณะรัฐบาลลาวอิสระที่เวียงจันทน์

ถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 เขาได้ออกเดินทางจากสุวรรณเขตไปฮานอย เพื่อรวบรวมชาวลาวที่อาศัยอยู่เวียดนามเข้าร่วมการต่อสู้ เวลาอยู่ฮานอย เขาได้เข้าทำงานที่วิทยุกระจายเสียงเวียดนาม ภาคภาษาลาว ทำหน้าที่เขียนบทข่าวโฆษณา เขียนบทวิจารณ์ แปลข่าวจากภาษาเวียดนามและภาษาฝรั่งเศสมาเป็นภาษาลาว บางครั้งเขายังเป่าแคนออกทางวิทยุกระจายเสียงอีก ในระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1946 ไกสอนได้เข้าร่วมทำงานในคณะติดต่อลาว-เวียดนามที่ฮานอย องค์การนี้เป็นองค์การรวบรวบคนลาวที่อยู่ฮานอยและแขวงต่าง ๆ ของเวียดนาม เพื่อจัดตั้งองค์การกู้ชาติของคนลาวที่อยู่ในเวียดนามหรือที่อพยพไปเวียดนาม

ไกสอนในยุคต่อสู้กับพวกจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นทั้งเก่าและใหม่ ร่วมกับผู้นำคนอื่น ๆ ได้แก่ เจ้าสุภานุวงศ์, หนูฮัก พูมสะหวัน, คำไต สีพันดอน ไกสอนเป็นผู้นำในการต่อสู้ทางการทหารเข้ามาในภารกิจปลดปล่อยชาติ โดยใช้ยุทธวิธี "บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น" สร้างตั้งพรรคประชาชนลาว โดยเขาเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคนแรก โดยในช่วงนั้นพรรคดำเนินงานอย่างปิดลับ โดยแนวลาวฮักซาดเป็นตัวแทนให้กับพรรค จนสามารถปลดปล่อยประเทศชาติได้อย่างสมบูรณ์
จนประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อ พ.ศ. 2518 พรรคจึงดำเนินงานอย่างเปิดเผย เขาดำรงตำแหน่งนี้จนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปี พ.ศ. 2535

ไกสอน พมวิหาน เคยเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล และพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ๋ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งแรกที่จังหวัดหนองคาย และเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศลาวด้วย แต่เขาถึงแก่อสัญกรรมเสียก่อน หนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศคนต่อมาจึงได้ร่วมพิธีเปิดสะพานมิตรภาพแทน

พ.ศ. 2553 เป็นปีที่ไกสอน พมวิหาน มีอายุครบ 90 ปี พรรคและรัฐบาลลาวได้จัดงานเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะครอบครัวพมวิหาน นำโดยนางทองวิน พมวิหาน ภริยา ได้จัดพิธีอุทิศส่วนกุศลที่บ้านของเขา ในวันที่ 910 ธันวาคม พ.ศ. 2553 มีการสวดพระปริตมงคล ตอนเช้าถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ 9 รูป ส่วนงานที่เป็นรัฐพิธี จัดขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม

ปัจจุบันอัฐิของเขาได้ประดิษฐานไว้ร่วมกับผู้นำในอดีตคนอื่น ๆ ณ สุสานแห่งชาติ หลัก 24 เมืองไซทานี นครหลวงเวียงจันทน์

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

พันเอก บุนยัง วอละจิด

พันเอก บุนยัง วอละจิด (ลาว: ບຸນຍັງ ວໍລະຈິດ; เกิด 15 สิงหาคม พ.ศ. 2481) 
เป็นเลขาธิการพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ประธานประเทศลาวคนปัจจุบัน
 อดีตรองประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว กรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว 
เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาวเมื่อ พ.ศ. 2539 - 2544 ได้รับการคัดเลือกจากสภาแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2545 - 2549 และผู้ประจำการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค ในคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรค สมัยที่ 9 (พ.ศ. 2554 - พ.ศ. 2559)



วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

หนูฮัก พูมสะหวัน (ลาว: ໜູຮັກ ພູມສະຫວັນ)

หนูฮัก พูมสะหวัน (ลาว: ໜູຮັກ ພູມສະຫວັນ)  (เกิด 9 เมษายน พ.ศ. 2453 - 9 กันยายน พ.ศ. 2551
อดีตประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 
และอดีตหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิวัติลาว
หนูฮัก พูมสะหวัน (ลาว: ໜູຮັກ ພູມສະຫວັນ)


หนูฮัก พูมสะหวัน 
เป็นบุตรของนายทองพัก กับนางบันทูน พูมสะหวัน เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2453 ในครอบครัวเชื้อสายญวน ที่บ้านพาลุกา แขวงเมืองมุกดาหาร (ปัจจุบันขึ้นกับตำบลชะโนด อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร) ในราชอาณาจักรไทย มีน้องสาวชื่อนางสีดา พูมสะหวัน เรียนหนังสือชั้นต้นที่วัดมโนภิรมย์ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นโดยพี่ชายเจ้าจันทกินรี เจ้าเมืองมุกดาหาร อนึ่งนางบันทูนผู้เป็นมารดาเป็นหลานสาวของพระอมรฤทธิธาดา (ญาหลวงทัด) เจ้าเมืองพาลุกากรภูมิ ต่อมาครอบครัวได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานกับครอบครัวที่เมืองคันธบุรี ประเทศลาว ในช่วงที่ยังสอนบ่าว หรือ ราวอายุ 14 - 15 ปี ปัจจุบันบ้านเดิมของหนูฮักที่พาลุกา ยังคงเหลือเสาบ้านเพียงเสาเดียวเป็นอนุสรณ์

ปี พ.ศ. 2493 หนูฮักได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านฝรั่งเศสในลาวพร้อมกับผู้นำของลาวฝ่ายซ้ายคนอื่น ๆ ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งพรรคประชาชนลาว (พรรคประชาชนปฏิวัติลาวในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2498 จึงได้รับเลือกให้เป็นกรรมการกลางของพรรค

ในปี พ.ศ. 2502 หนูฮักพร้อมด้วยเจ้าสุภานุวงศ์ และผู้นำลาวฝ่ายซ้าย
คนอื่น ๆ ถูกรัฐบาลลาวฝ่ายขวาจับกุม แต่คณะบุคคลดังกล่าวก็สามารถหลบหนีไปได้และได้เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติลาว โดยหนูฮักรับผิดชอบเขตงานแถบภาคเหนือของลาว (เชียงขวางและหัวพัน) และได้มีบทบาทในการร่วมรัฐบาลกับรัฐบาลลาวฝ่ายขวาที่เวียงจันทน์ทุกครั้ง

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองและสถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปี พ.ศ. 2518 หนูฮัก พูมสะหวันจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการเงิน กำกับดูแลเศรษฐกิจของประเทศเป็นเวลาหลายปีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2535 หนูฮักจึงได้รับเลือกให้เป็นประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แทนนายไกสอน พมวิหาน ซึ่งถึงแก่กรรมขณะดำรงตำแหน่ง จนถึงปี พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นจึงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการศูนย์กลางพรรคต่อมาเป็นเวลา 5 ปีก่อนจะเกษียณตัวเอง และเริ่มหายหน้าไปจากสาธารณชน

หนูฮัก พูมสะหวัน ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 ที่นครหลวงเวียงจันทน์
 ประเทศลาว ขณะมีอายุ 98 ปี นับเป็นผู้ร่วมการก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิวัติลาวคนสุดท้ายที่ถึงแก่อสัญกรรม

วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

#วันนี้ในอดีต โศกนาฏกรรม 9/11

#วันนี้ในอดีต โศกนาฏกรรม 9/11

11 กันยายน 2001 ผ่านมาแล้ว 16 ปี เป็นวันที่ชาวโลกทุกคนจดจำ ไม่มีวันลืมเลือน เพราะเกิดโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญครั้งใหญ่จากฝีมือของเครือข่ายก่อการร้าย 'อัล เคดา' นำโดย 'บิน ลาเดน' ที่วางแผนอย่างแยบยลบุกเข้ายึดเครื่องบิน และบังคับให้บินพุ่งชนตึกแฝด #เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สัญลักษณ์ของระบอบทุนนิยมเสรีใจกลางมหานครนิวยอร์ก จนมีผู้เสียชีวิต 2,977 ราย








วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

ประวัติศาสตร์ลาว

ประวัติศาสตร์ลาว 


เริ่มตั้งแต่อาณาจักรล้านช้าง จนถึง สมัยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

อาณาจักรล้านช้าง
ประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ของลาว เชื่อว่าอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรน่านเจ้ามีตำนานโดยขุนบรม และขุนลอ มีลูกสืบหลานต่อๆ กันมา จนถึง รัชสมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม ผู้รวบรวมม,อาณาจักรล้านช้างได้เป็นผลสำเร็จในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ 19 และมีกษัตริย์ปกครองสืบทอดต่อกันมาหลายพระองค์ ที่สำคัญ เช่น

พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระองค์มีความสัมพันธไมตรีที่แนบแน่นกับกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช รัชสมัยของพระองค์นับเป็นยุคทองของราชอาณาจักรล้านช้าง ภายหลังเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว เชื้อพระวงศ์ลาวต่างก็แก่งแย่งราชสมบัติกัน จนอาณาจักรล้านช้างแตกแยกเป็น 3 ส่วนคือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์และอาณา
จักรล้านช้างจำปาศักดิ์

ความแตกแยกในอาณาจักรล้านช้าง